"ทศพร ศรีตุลา" โหรา..เงินตรา...ภาษี''
จากคนที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องเงินทองมาก่อนเลย อะไรทำให้หมอช้าง"ทศพร ศรีตุลา"กลายเป็นคนที่หันมาใส่ใจเงินทองมากขึ้น คลิกเข้าไปอ่าน
จาก คนที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องเงินทองมาก่อนเลย ใครพูดหรือแนะนำเรื่องการออมการลงทุน ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตก็เดินมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อซินแสไฮโซอย่างหมอช้าง "ทศพร ศรีตุลา" ต้องเผชิญหน้ากับตัวเลขภาษีที่ทำร้ายจิตใจ ทำให้เขากลายมาเป็นคนที่เริ่มใส่ใจกับทุกแง่มุมของเรื่องเงินๆ ทองๆ มากขึ้น
"ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนประเภทที่ไม่เคยใส่ใจเงินทองเลย เรื่องการจัดการเงินทองถือว่าเลวร้ายมาก ขนาดบุ๊คแบงก์ยังไม่เคยอัพเดทเลย อาจจะเป็นเพราะอาชีพผมเป็นอาชีพที่ประหลาด ด้วยขั้นตอนการทำงาน เลยไม่มองเรื่องเงินเป็นเรื่องแรก อาชีพอื่นอาจจะมองผลตอบแทนเป็นโจทย์ แต่ผมมองจากผลลัพธ์จากสิ่งที่เราให้คำปรึกษาแก่ผู้คน ผมเองตั้งแต่ทำงาน ไม่เคยเอาเรื่องเงินเป็นที่ตั้ง ทำฟรีก็เยอะ ประกอบกับเป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ใช้แบบสบายๆ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับมีคนหามาให้ ผมไม่ค่อยขวนขวายซื้อหาของ หรือหาเงิน กินข้าวก็แทบไม่ได้เสียสตางค์ ไม่ได้เที่ยว ทำแต่งาน ไปทำงานต่างจังหวัดคือการไปเที่ยว มีภาระผ่อนรถผ่อนบ้านตามปกติ แต่ไม่เคยคิดจะลงทุนเลย"
หมอช้างเล่าว่า อีกอย่างหนึ่งที่อาจจะทำให้เขาไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเงิน เพราะผ่านชีวิตมาแล้วทุกรูปแบบ ทั้งยากดีมีจน เริ่มจากเติบโตมาจากครอบครัวที่มีฐานะ จากนั้นพอมาถึงช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจนต้องพึ่งไอเอ็มเอฟทำให้ครอบครัวของเขาจน ลงชนิดไม่มีอะไรเหลือ จากครอบครัวทำธุรกิจก็กลับมาใช้ชีวิตแบบจนๆ ตอนนั้นจึงถูกปลูกฝังไม่ให้ฟุ้งเฟ้อ ให้ใช้เงินอย่างพอดี ไม่เวอร์ พอถึงจุดหนึ่งที่เราไม่มี ก็ไม่เดือดร้อน หรือพอกลับมามีเงินอีกรอบ ก็รู้สึกว่าเรื่องเงินทองไม่จีรังยั่งยืนในชีวิต
"พอผ่านมาหมดทุกแบบ รวย จน วนไปวนมา วิธีการทำงานของผมคือ ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน คิดแบบนี้มาตลอด ถ้าคิดเอาเงินเป็นที่ตั้ง ผมคงทำอาชีพนี้ไม่ได้ เพราะอาชีพผมเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ ผมเริ่มงานนี้มา 15-16 ปี ถ้าสมองไปวุ่นวายเรื่องตัวเลขเกินไปไม่ดี แต่ผมตั้งใจและใส่ใจเต็มที่กับงาน อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะมีชื่อเสียงหรือไม่มีก็ตาม ทำแบบนี้ตลอด เรื่องความร่ำรวยไม่ใช่โจทย์ของชีวิตผม อาจจะเป็นเพราะผมเห็นคนเล่นหุ้น รวยและเจ๊งมาเยอะมาก บางคนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง มีปัญหาครอบครัว ทำให้รู้สึกว่า หุ้นคือการพนัน ถ้าไม่ใช่การพนันคงไม่ต้องเตือนว่ามีความเสี่ยง ผมคิดว่าคนเราจะไปเครียดกันทำไม ตรงไหนรู้ว่าเสี่ยงก็อย่าไปยุ่งกับมัน ผมเชื่อว่าเงินจะวิ่งมาหาความขยันและความตั้งใจจริงๆ ผมว่าเงินเนี่ยแปลก มันชอบวิ่งหนีคนอยากได้มัน แต่คนโดยมากก็อยากได้มัน คำถามยอดฮิตอย่างหนึ่งของคนที่ดูดวงคือจะรวยมั้ย ผมตอบว่า ความรวยอ้างอิงไม่ได้ แค่คุณพอก็รวยแล้ว"
หมอช้างบอกว่า เงินก็เหมือนอาหาร มันคือ"ความไม่พอ" ที่เมื่อเราเคยชินกับความอร่อย พอไปถึงจุดหนึ่งเราวิ่งไปหาความอร่อยที่มากขึ้น เงินก็เหมือนกัน วันหนึ่งเราอยากมีความมั่นคงในชีวิต แต่พอมีเงินระดับหนึ่ง เราก็อาจรู้สึกว่าไม่พอแล้ว
หมอช้างบอกว่า เรื่องที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาคือ "ภาษี" ซึ่งเป็นเรื่องแสลงใจของใครหลายคน แต่อย่างหนึ่งทำให้เขาตระหนักว่า ในโลกนี้มีอยู่ 2 เรื่องที่มนุษย์หนีไม่พ้นคือ "ภาษี" และ "ความตาย"
"คน คิดว่าหมอดูไม่เสียภาษี แต่ผมเป็นหมอดูที่อยู่ในแบบที่เสียภาษี เพราะทำเป็นรูปบริษัท แต่ก่อนก็เสียภาษีไปเรื่อย ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้ดูตัวเลข แต่พอต้องไปดูฮวงจุ้ยให้พวกนักธุรกิจหรือคนที่เขามีความรู้เรื่องพวกนี้ ทำให้ได้ข้อแนะนำที่ดีเกี่ยวกับเรื่องการเงิน เขาก็ถามว่าเสียภาษีเยอะ ทำไมไม่ลงทุนอะไรที่ประหยัดภาษีบ้าง แรกๆ ผมก็เป็นประเภทเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก่อน ทั้งที่ได้ยินคำว่าวินัยทางการเงิน ลงทุนต่อยอดเงินทอง แต่ต่อมาก็เริ่มศึกษาและคิดว่ามีประโยชน์จึงเริ่มมองหาช่องทางลงทุนที่ช่วย ประหยัดภาษี"
ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าสู่สนามลงทุน หมอช้างบอกว่า เขาคิดว่าคนเราควรจะเริ่มต้นจาก "จัดพอร์ตชีวิต" ก่อน "จัดพอร์ตลงทุน"
"ผม มองว่าเราควรจัดพอร์ตชีวิตก่อน และลงทุนเป็นเรื่องหลัง ผมต้องให้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ บางคนส่งแต่เงินให้พ่อแม่ไม่เคยส่งความรู้สึกให้พ่อแม่เลย ก็เปล่าประโยชน์ บางทีครอบครัวอาจไม่ต้องการเงินอย่างเดียวก็ได้ เราก็ใส่ส่วนนี้เข้าไป ผมอยู่ใกล้วัดมาก และสนิทกับศาสนา การจัดพอร์ตชีวิตของผมจึงต้องสมดุลทั้งการให้เวลาใส่ใจครอบครัว และการทำงาน "
ส่วนเรื่องจัดพอร์ตการลงทุน เขาบอกว่าเริ่มจากศึกษาดวงตัวเองก่อน คนคิดว่าหมอดูไม่ดูดวงตัวเอง จะได้รู้ว่าโดยพื้นดวงของตัวเอง ทั้งตามธาตุและราศี แล้วเหมาะจะลงทุนอะไร
"ธรรมชาติ ของตัวผม รู้อยู่แล้วว่าเป็นแบบไหน ไม่ต้องตอบแบบสอบถามของ ก.ล.ต.ก็ได้ ผมดูจากพื้นดวงแล้ว ผมเป็นคนรับความเสี่ยงได้ไม่มาก รับได้กลางๆ ลองตอบแบบสอบถามแล้วเป็นแบบนั้นจริงๆ เรารู้ว่าไม่ใช่พวกทำกำไรในระยะสั้น ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ใช่พวกฝากแบงก์หรือซื้อพันธบัตรท่าเดียว"
เมื่อรู้ แล้วว่าตัวเองเหมาะกับอะไร จากนั้นเขาก็ดูจากเป้าหมายว่า ต้องการจัดการเรื่องภาษี ก็มาลงรายละเอียดดูว่ามีการลงทุนอะไรบ้างที่ช่วยประหยัดภาษี และดูประเภทการลงทุนที่เหมาะกับความเสี่ยงที่เรารับได้ รวมถึงดูตามพื้นดวงด้วยว่าเราธาตุไหนราศีไหนเหมาะกับอะไร ซึ่งโดยหลักๆ ก็เป็นการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี
"แต่ผมเป็นมนุษย์ประเภทที่ทำให้คน อื่นรวย พอเราจะลงทุนเอง อาจจะทำให้เกิดปัญหากับตัวเรา เหมือนเอาความรู้ไปหาประโยชน์ให้ตัวเอง ผมก็ดูว่าการลงทุนแบบไหนบ้าง ที่ผมสามารถเอาความรู้เรื่องการพยากรณ์ไปบอกคนอื่นแล้วให้เขาลงทุนแทน ถ้าเราลุยเองสมาธิการทำงานอาจจะหาย โดยหลักๆ จึงเป็นพวกซื้อกองทุน"
หมอ ช้างบอกว่า ไม่ใช่ทุกคนจะรวยกับหุ้นได้ทุกตัว มนุษย์ทุกคนมีเนื้อคู่ ดังนั้นในแง่การลงทุน ก็จะมีหุ้นที่สมพงษ์กับเราเหมือนกัน สิ่งสำคัญคือนอกจากดูสถิติราคาสูงต่ำ ขอให้ย้อนดูสถิติตัวเอง นักลงทุนโดยมากไม่ค่อยเก็บสถิติชีวิตตัวเอง ดังนั้น เราต้องมีสมุดจดบันทึกด้วยว่าลงทุนอะไรบ้าง ขาดทุนกำไรเท่าไหร่ บางทีซื้อๆ ขายๆ ปรากฏว่าไม่เคยได้เลย ก็จงทำใจเถอะว่าหุ้นตัวนั้นอาจไม่เหมาะกับเรา
"บางทีของที่รักก็มักไม่ถูกกับเรา บางบริษัทดูดี ผลประกอบการดี อาจจะไม่ใช่หุ้นที่ถูกกับเรา ผมถึงบอกว่าเก็บสถิติเอาไว้จะทำให้รู้ว่าเราเหมาะกับหุ้นกลุ่มไหน ดวงคือสถิตินั่นเอง เราต้องพล็อตกราฟชีวิตตัวเอง พล็อตเพื่อหาช่วงจังหวะของชีวิต บางคนมองแต่จังหวะการลงทุน แต่ไม่ได้กลับมามองเรื่องตัวเองว่าช่วงนี้ดีหรือเปล่า บางคนรู้สถิติตัวเองว่าพอเดือนพฤศจิกายนทีไรไม่ป่วยก็ซวย มนุษย์มีช่วงเดือนแย่ๆ ของชีวิต จดไว้ พอได้สถิติเยอะ เราจะรู้แล้วว่าเดือนไหนอันตราย การลงทุนมีเรื่องของโชคเข้ามาเกี่ยวด้วย ดวง สภาพแวดล้อมหรือฮวงจุ้ยที่ดี และการคิดดีทำดี ถ้ามีครบ 3 อย่างก็ลงทุนแล้วรุ่ง ถ้าอยากมีโชคจากการลงทุน ดูว่าจิตใจเราวันนั้นเป็นยังไง ผมยกตัวอย่างเรื่องหวย คนที่ชอบซื้อหวย มีเลขเด็ดเลขเก็งเยอะๆ มักไม่ถูกหวย แต่คนไม่คิดมาก มักจะถูก คนที่เครียดมากๆ มักไม่รุ่งจากหวยหรือหุ้น โชคจะเข้าหาคนที่มีจิตใจสมดุล ไม่หย่อนไม่ตึงเกินไป ลงทุนแบบชิลล์ไม่เครียดก็มีโอกาสถูกได้เรื่อยๆ อยากให้โชคเข้า เราต้องเลือกสภาพแวดล้อมหรือฮวงจุ้ยที่ดี"
หมอช้างบอก ว่า โหราศาสตร์คือการศึกษาธรรมชาติ ดวงคือดินน้ำลมไฟ เราศึกษาปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ มีไว้บ่งบอกฤดูกาลเพื่อให้ชาวไร่ชาวสวนเพาะปลูกได้ตามฤดูกาล การลงทุนกับโหราศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ไกลกัน
"ผมเป็นคนอยู่กับ อนาคต มีแต่ข้อมูลเรื่องอนาคต ตัวเองอาจจะอยู่กับปัจจุบันมาก แต่เรื่องงานอยู่กับอนาคต โลกหมุนตลอดเวลา มีช่วงตกต่ำและฟื้นตัว หุ้นมีขึ้นมีลง เราดูดวง และมองทุกอย่างเป็นไซเคิล อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และเลือกลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและความเสี่ยงของตัวเอง ผมหาความแน่นอนในความไม่แน่นอนเจอ และรู้จักเสี่ยงอย่างพอดี ถ้าอันไหนมั่นใจมากๆ และดูจากสถิติ เราก็กล้าลงทุน"
โหราศาสตร์คือการ ให้แผนที่และแนวทาง แต่ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดชีวิตของเรา เพราะสุดท้ายแล้วเส้นทางเดินของชีวิตทุกคนต้องเป็นคนเลือก อีกทั้งโหราศาสตร์ไม่ใช่เรื่องงมงาย หากรู้จักอย่างเข้าใจ การลงทุนก็เหมือนกัน เขาทิ้งท้ายอย่างนั้น
โดย : ทศพร ศรีตุลา
ที่มา:http://www.nationejobs.com
|